Chapter10. เหนื่อยล้า
นางคือหลานที่หลินเหิงอี้เอ็นดูที่สุด ถึงขนาดว่าหากเมื่อใดที่นางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่จะเป็นคนจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง อาจเพราะเหตุนี้ครอบครัวของท่านลุงรองไม่ค่อยพอใจนัก เผลอคิดไปถึงท่านลุงรอง นางจึงอดคิดถึงหลินซูซินญาติผู้น้องที่มีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นของนางจนตั้งครรภ์ หลินซูซินเป็นหญิงสาวอ่อนหวาน กิริยาน่ารักน่าเอ็นดู ท่านลุงรองเลี้ยงดูบุตรชายหญิงอย่างดียิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นของดี อาหารการกินเพียบพร้อมสมบูรณ์ แม้ท่านพ่อเปิดสำนักศึกษา แต่ไม่เคยส่งลูกจากภรรยาเอกมาร่ำเรียน เว้นแต่ลูกของอนุจึงได้มาเรียนที่สำนักศึกษาของท่านพ่อ แต่กลับเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้าน ใครเลยจะรู้ว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้
หลินอวี้เจินกำลังจะหมุนตัวเดินกลับ แต่นางกลับชนกับแจกันที่ตั้งมุมห้อง มือเรียวรีบยื่นมือไปจับไว้ไม่ให้หล่นลงมา ทว่ากลับทำให้กลไกในห้องเปิดออก มีบานประตูซ่อนอยู่ นางยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไปดู ด้านในเป็นเพียงห้องขนาดเล็ก มีชั้นวางของและเตียงเก่าๆ แต่บนชั้นนั้นมีเสื้อผ้าหญิงชาวบ้านพับไว้อย่างเรีบยร้อยสองหรือสามชุด สายตาของนางปะทะกับรูปวาดที่แขวนอยู่ผนังห้อง เป็นรูปหญิงงามสวมเสื้อคลุมกันลมยืนถือพัดกลมใต้ต้นดอกท้อ
“ใครกัน” นางเพ่งมองที่รูปแต่ไม่ปรากฏข้อความใด รูปวาดดูเก่าแก่อายุน่าจะเกิดสิบปี ฝีมือการวาดประณีตงดงามราวกับทำให้หญิงงามในภาพมีชีวิต
“หรือจะเป็นหญิงในดวงใจของท่านลุงใหญ่”
หลินอวี้เจินพึมพำเบาๆ นางไม่ได้แตะต้องสิ่งใดในห้องลับ เพียงแค่กวาดตามองรอบๆ แล้วจึงเดินออกมาเงียบๆ ใส่กุญแจเรียบร้อยแล้วกลับไปช่วยพ่อบ้านหานตกตรวจสอบรายการซื้อขายสินค้า
........
“ใต้เท้าไม่ควรออกไปตามลำพังเช่นนั้นนะขอรับ”
“จางหยวน...ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นแค่องครักษ์ไม่ใช่เจ้าของชีวิตที่จะมีสิทธิ์มาสั่งข้าได้”
กัวจื่อหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านมากกว่าจะไม่พอใจที่องครักษ์หนุ่มแสดงความกังวลออกมา
“ขออภัยแต่บ่าวมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของใต้เท้า แต่บ่าวกลับไม่รู้ว่าใต้เท้าออกไปนอกจวน”
“ถ้าขนาดเจ้ายังไม่รู้ คนอื่นก็ไม่รู้เช่นกัน”
กัวจื่อหรานหัวเราะในลำคอแล้วเลื่อนเอกสารที่ลงนามแล้วออกไปด้านข้าง ร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“อย่ากังวัลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
องครักษหนุ่มถอนหายใจหนักๆ “บ่าวหวังใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
“ข้าไม่รับปาก แต่รับรองว่าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้อมูลที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาล่ะ”
“ได้แล้วขอรับ” จางหยวนยื่นหนังสือรายงานที่ราบรวมข้อมูลมาส่งให้ผู้เป็นนาย
กัวจื่อหรานหนุ่มรับมาเปิดออกแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก พบกันครั้งแรกเป็นความบังเอิญ ครั้งนั้นเขาไม่รู้ว่านางคือหลินอวี้เจิน เขามีธุระที่ต้องไปสะสางด้วยตนเองที่จู้หยาง ไม่คิดว่าจะบังเอิญเห็นหญิงสาวเดินหนีชายหนุ่มคนหนึ่ง แม้นางจะก้มหน้าก้มตาเดินหนีอยู่ แต่เขากลับเห็นแววตาฉ่ำน้ำตาของนางทำให้ต้องเข้าช่วยเหลือ พบกันอีกครั้งนางกลับเป็นหลานสาวของหลินเหิงอี้
ชายหนุ่มอ่านรายงานแล้วเผลอขมวดคิ้ว ข้อมูลทั่วๆ ไปไม่ได้เรียกความสนใจเท่ากับ
‘ยกเลิกการหมั้นหมาย? คู่หมั้นไปแต่งงานกับญาติผู้น้อง?’
เขารับถ้อยน้ำชาจากจางหยวนยกขึ้นจิบหมดถ้วยแล้ว แต่ยังคลึงถ้วยชาเล่นในมือขณะไล่สายตาอ่านรายละเอียดอันไร้สาระเหล่านี้
“มาที่นี่ก็คงมารักษาแผลใจละซิ”
“ทหารเงาของเราเคยเข้าไปค้นที่บ้านเศรษฐีหลินมาแล้ว แต่หาไข่มุกน้ำตาจันทราไม่พบขอรับ”
เปรี้ยะ!
ถ้วยน้ำชาในมือของกัวจื่อหรานเกิดรอยแตกร้าว จางหยวนลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ เขาคิดไว้แล้วว่าถ้าเอ่ยไปต้องโมโหมากขนาดนี้
“สายรายงานมาว่าสองสามวันมานี่เศรษฐีหลินไม่สบายล้มหมอนอนเสื่อ หลานสาวจึงดูแลกิจการแทนผู้เป็นลุงขอรับ”
“เป็นแค่สตรีตัวเล็กๆ กล้าออกหน้ารึ! ช่างกล้านัก!” เสียทีบิดาเป็นถึงเจ้าของสำนักศึกษา เหตุใดบุตรสาวกลับไร้กิริยาเช่นนี้
“จะทำประการใดต่อไปขอรับ”
ใบหน้าคมเข้มกระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปาก มือแกร่งโบกไปมาเหมือนต้องการตัดบท
“อ่อ! กัวอี้เซียวเข้านอนหรือยัง?”
“กำลังนั่งดูสมุดภาพของแม่นางหลินขอรับ”
กัวจื่อหรานถอนหายใจหนักๆ “ข้าไม่ชอบใจที่อี้เซียวสนิทสนมกับหญิงผู้นั้น อี้เซียวใสซื่อจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้อื่น ไม่รู้ว่าไปเป่าหูอี้เซี้ยวอะไรไว้บ้าง”
“คุณชายเป็นคนฉลาด ไม่เป็นเช่นที่ใต้เท้าคิดแน่นอน” จางหยวนเอ่ยขึ้น
“ข้าจะไปหาอี้เซียว”
เขาปิดรายงานเกี่ยวกับหลินอวี้เจินแล้วลุกขึ้นเดินไปตามทางเดินเพียงครึ่งก้านธูปก็ถึงที่หมายโดยมีจางหยวนก้าวตามไปติดๆ
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ยังคงพลิกสมุดภาพดูด้วยความเพลิดเพลิน บ่าวรับใช้เห็นกัวจื่อหรานเดินตรงมาก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่ เขาเดินไปนั่งข้างน้องชายยื่นมือไปปัดรอยเลอะที่ข้างแก้ม กัวอี้เซียวมักทำหมึกเลอะหน้าตาอยู่เสมอ
“มีเรือลำใหญ่จริงๆ หรือพี่ใหญ่”
กัวอี้เซียวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแววตาอยากรู้ราวกับเด็ก อยู่กับผู้อื่นเขาเอ่ยเพียงคำสองคำ แต่กับกัวจื่อหรานแล้ว เขาพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้ แต่ความรู้สึกนึกคิดและการแสดงออกราวกับหยุดไว้ที่อายุเจ็ดขวบเท่านั้น
“จริงซิ” กัวจื่อหรานตอบน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่ดึกแล้ว เจ้าควรเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยดูสมุดภาพนี้ใหม่”
กัวอี้เซียวพยักหน้าหงึกหงักปิดสมุดภาพแล้วกอดไว้แนบอกแน่นอย่างห่วงแหน แล้วเดินไปปีนขึ้นเตียงนอนโดยไม่ยอมให้สมุดภาพอยู่ห่างกาย เขายื่นมือไปหมายจะหยิบออกและจัดผ้าห่มให้น้องชายแต่อีกฝ่ายกลับยื้อไว้ไม่ยอมปล่อย
“ข้าจะนอนกับสมุดภาพของข้า” เด็กหนุ่มยังกอดหนังสือไม่ยอมปล่อย “ของสำคัญของข้าต้องอยู่ใกล้ตัวข้า”
“เจ้าชอบสมุดภาพเล่มนี้มาก” เขาไม่ค่อยเห็นน้องชายชื่นชอบสิ่งใดนัก จึงออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เด็กชายพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วพูดเสียงแผ่ว
“ข้าชอบพี่สาวมาก” กัวอี้เซียวอ้ำอึ้ง “พี่ใหญ่อย่ารังแกนางนะ”
คราวนี้กัวจื่อหรานขมวดคิ้ว น้องชายจ้องตาเหมือนรอคำตอบ เขาไม่เอ่ยอะไรแต่เหน็บผ้าห่มให้น้องชาย
“พี่ใหญ่”
“หลับตาแล้วหลับเสีย”
“ท่านสัญญากับข้าก่อน”
กัวจื่อหรานรู้ดีว่าน้องชายเป็นคนจิตใจอ่อนโยน แม้กัวอี้เซียวจะเป็นน้องชายต่างมารดา แต่เขาเวทนาสงสารในชะตากรรมของน้องชายนัก จึงมักตามอกตามใจเสมอ
“ได้ พี่ไม่รักแกนาง”
